ในยุคที่สวนชวนชมโผล่ขึ้นราวดอกเห็ดทั้งสวนเล็กสวนใหญ่ บางพื้นที่ว่ากันว่าหาสวนชวนชมง่ายกว่าหาร้าน “เซเว่นอีเลฟเว่น” เสียอีก
ในขณะที่ตลาดหรือกลุ่มผู้ซื้อกลับมีเท่าเดิมและมีแนวโน้มลดลงตามก้นภาวะเศรษฐกิจ จนดูเหมือนว่าไม้อวบน้ำทนร้อนตัวนี้กำลังเดิน “หยอกล้อ” กับทางตัน
ในสภาพที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีพื้นที่ให้กับสวนเกิดใหม่ในวงการ
หากเกิดก็คงถูก “คุมกำเนิด” โดยสวนใหญ่ที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์มากกว่า ที่สุดคงเล็กลีบเป็น “บอนไซ”
แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของชวนชมดังกล่าวไม่ “ระคายเคือง” พเยาว์ ขาวเจริญ เลย เพราะเขาเลือกที่จะลงทุนชวนชมแบบสวนกระแส โดยไม่ “กลัวเจ๊ง” แต่อย่างใด
ในขณะที่ตลาดหรือกลุ่มผู้ซื้อกลับมีเท่าเดิมและมีแนวโน้มลดลงตามก้นภาวะเศรษฐกิจ จนดูเหมือนว่าไม้อวบน้ำทนร้อนตัวนี้กำลังเดิน “หยอกล้อ” กับทางตัน
สถานการณ์ที่มีแนวโน้มไปในทางลบอย่างนี้ไม่มีใครกล้าลงทุนชวนชมหรอก
แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของชวนชมดังกล่าวไม่ “ระคายเคือง” พเยาว์ ขาวเจริญ เลย เพราะเขาเลือกที่จะลงทุนชวนชมแบบสวนกระแส โดยไม่ “กลัวเจ๊ง” แต่อย่างใด
ตรงกันข้ามกลับ “พกความกล้า” มาเต็มกระเป๋า
โดยเฉพาะการทุ่มเงินลงทุนชวนชมกลุ่มไม้สีภายใต้ชื่อ “สวนทรัพย์เจริญ”
ชั่วเวลาเพียงไม่กี่เดือนเขาสามารถสร้างสวนชวนชมจากความว่างเปล่า
ให้เป็นสวนขนาด 70 ไร่
ทัดเทียมสวนชวนชมใหญ่ๆ ที่มีอายุในวงการหลายทศวรรษ
ถือเป็นความกล้าที่ตัดสินใจนำเงินกว่าครึ่งล้านบาทมาลงทุน
ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจโดยรวมไม่ค่อยดี ควรเก็บเงินมากกว่านำไปลงทุนใดๆ เพราะความเสี่ยงสูง
โดยเฉพาะกับการลงทุนชวนชมซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มไม้ดอกไม้ประดับ สินค้า “ฟุ่มเฟือย” ในยุค “ประหยัด”
ก่อนจะถูก “ปรามาส” ว่าเป็นเพียง “คนมีตังค์” เข้ามาลงทุนชวนชม ทั้งยังมีความ “อ่อนหัด” อยู่ในตัวมาก ที่สุดจะกลายเป็นการนำเงินมา “ละเลง” เล่นเท่านั้น
แต่ถ้าใครที่รู้จักพเยาว์จะรู้ว่าการที่เข้ามาลงทุนชวนชมไม้สี
และชวนชมดอกซ้อนได้ผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์ทั้งการผลิตและการตลาดมาเป็นอย่างดีและถี่ถ้วน
และถ้ารู้จักเขาลึกกว่านั้นจะรู้ว่าเขาไม่ใช่ “เศรษฐี” มีเงินมากพอที่จะนำมา “ละเลงเล่น” หากแต่เขาเป็นเพียง “นักสู้ ป.4” เท่านั้น
นั่นหมายความว่าเขามีพื้นฐานอาชีพเกษตรค่อนข้างดี
ก่อนที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวได้ด้วยการยึดอาชีพผู้รับเหมางานก่อนสร้างใหญ่
อย่างเช่น งานสร้างคันเขื่อนริมคลองและแม่น้ำ งานขุดลอกคลองต่างๆ
โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.นนทบุรีและใกล้เคียง
ดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของธุรกิจของเขาภายใต้ชื่อ “หจก. ขาวเจริญ” คือ รถแม็คโครที่มีอยู่กว่า 22 ทั้งขนาดเล็กและใหญ่รวมมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท
ก่อนที่เจ้าของธุรกิจรับเหมาผู้นี้จะถูก “กระชาก” อย่างแรงด้วยความงามของชวนชมตระกูลไทยโซโค เมื่อราวปี 2551
“เห็นแล้วสวยดี” เขาอธิบายความรู้สึกออกมาอย่างนั้น
เขายอมควักเงินสดๆ ในกระเป๋า 27,000 บาท
เพื่อแลกกับชวนชม “มงกุฎเพชร” ซึ่งนับเป็นชวนชมต้นแรกในชีวิต และอีกนับ 20 ต้นในเวลาต่อมา
“หมดเงินไปแสนกว่าบาท” เขาเปิดเผย
แต่ในสายตาของพเยาว์เขาเทใจซื้อชวนชมไทยโซโคไม่ใช่เพื่อ “สนอง” กิเลสของใจตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่เขาแอบมองเรื่องการค้าไว้ด้วย
เพราะห้วงเวลานั้นชวนชมตระกูลดังกล่าวกำลังอยู่ในยุครุ่งเรือง การซื้อง่าย
การขายคล่อง
และการที่เขาตัดสินใจซื้อชวนชมก็เพื่อสะสมสายพันธุ์ไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์นั่นเอง
เขารู้จักชาตรี
ผู้ผลิตชวนชมมากประสบการณ์พร้อมๆ กับการรู้จักชวนชมไม้สี
ก่อนที่ชวนชมกลุ่มนี้จะทำให้เขา “นอกใจ” ชวนชมไทยโซโค
“ชวนชมไม้สีดอกมันสวยกว่า
มีความหลากหลาย เลี้ยงง่ายให้ดอกทั้งปี ตลาดก็กว้างเพราะราคาไม่ค่อยแพง”
พเยาว์บอกข้อเด่นของชวนชมไม้สี
ที่เขามองว่ามีคุณสมบัติในการผลิตเชิงการค้าสูงกว่าไทยโซโค
“มันขยายพันธุ์ง่ายกว่า” เขาเฉลยในที่สุด
นั่นเป็นเพราะการขยายพันธุ์ของชวนชมไทยโซโคนิยมขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
แต่ละต้นใช้เวลานานกว่าจะสวย กว่าจะขายได้ ดอกก็ออกยากไม่ทั้งปี
ผิดกับชวนชมไม้สีที่ขยายพันธุ์ด้วยการเสียบยอด
รวดเร็วและทำจำนวนไม้มากกว่าหลายเท่า หัวใจสำคัญคือตอที่จะใช้เสียบยอดนั่นเอง
จำเป็นต้องมีจำนวน
เมื่อวิเคราะห์แนวทางทั้งการผลิตและการตลาด
การลงทุนทำชวนชมไม้สีน่าจะมีโอกาสรุ่งมากกว่า
แต่ก็อย่าลืมว่าชวนชมไม้สีมีผู้ผลิตอยู่ไม่ใช่น้อย
และตลาดส่วนใหญ่ถูกครองด้วยสวนใหญ่ๆ ซึ่งตอนนั้นมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 10 สวน
ที่เหลือเป็นสวนขนาดกลางและเล็ก จนดูเหมือนว่าในวงการไม่มีพื้นที่พอให้ผู้ผลิตรายใหม่ยืนเลย
หากแต่นั้นไม่ใช่ “Vistion” ของพเยาว์...???
เขากลับมองตรงกันข้าม
เขามองเห็นช่องว่างรูเบ้อเร่อที่ยังไม่มีใครมองเห็น
หรืออาจจะมองเห็นแต่ไม่กล้าพอที่จะทำ...???
เขามองว่าสวนชวนชมใหญ่ๆ
วันนี้ยังมีไม่จริง “ไม่ชื่อลองไปซื้อสวนชมตัวใดตัวหนึ่ง 2-3 ตัว ไม่ต้องมากเอาที่ตัวละ 3oo ต้น
ถามว่าสวนไหนมีถึงบ้าง” เขาถามแบบแทงใจดำ
ตรงนี้คือจุดอ่อนวงการชวนชมไม้สี ที่ “กวักมือ” เรียกให้เขาเข้าไปลงทุน
แต่การเข้าไปของเขาคือต้องเข้าไปใหญ่เทียบเท่าหรือมากกว่าสวนใหญ่กลุ่มเก่า
ข่าวการซื้อชวนชมของชายวัย 40 ปลายๆ รูปร่างสูง แพร่สะพัดในวงการ เพราะเขาซื้อชวนชมอย่างคน “หิวกระหาย” ซื้อทีเหมาหมดโต๊ะ
ถ้าเป็นตอก็เหมาหมดสวน โดยเฉพาะเมล็ดชวนชมที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตตอ
ซื้อชาตรีไปจนหมดตู้เย็น พร้อมๆ กับซื้อไม้เสียบสีตอใหญ่ๆ เพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์
โดยคัดเลือกสายพันธุ์ที่มีคุณสมบัติดี อย่าง แดงอุดมทรัพย์
และโพไซดอน เป็นต้น โดยใช้เงินไปมากกว่า 1 ล้านบาท
จนมีชวนชมเต็มสวน 12 ไร่ ใน
อ.บางใหญ่เพียงชั่วเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น โดยมีชาตรี เป็นคู่ค้าหลัก
ภายหลังเขาได้อดีต “มือขวา” สัญชาติเมียนมา ของสวนประภาสบางใหญ่ ที่ชื่อ “ตาล” มาเป็นกำลังหลักในการดูแลเรื่องการผลิตอย่างถาวร
ทำให้การผลิตและการจัดการสวนเป็นไปอย่างมืออาชีพ ไม่ใช่นักเล่น
นักลงทุนหน้าใหม่ที่ “ทุพพลภาพ” ด้านประสบการณ์แต่อย่างใด
เขา “แทงหวย” ว่าถนนช่วงนั้นเป็นการค้าส่งไม้ดอกไม้ประดับแหล่งใหญ่
พ่อค้าแม่ค้าเดินทางมาจากทั่วประเทศ แต่มีร้านจำหน่ายชวนชมเพียวๆ น้อยมาก
มีเพียงแค่สวนตวงทองที่อยู่ฝั่งซ้ายของถนน ตรงนี้แหละคือ
โอกาสที่เปิดกว้างสำหรับเขา
เพียงแค่เดือนแรกที่เปิดขาย
ปรากฏว่าเขาแทงหวยถูกเต็งๆ แบบไม่ต้องกลับ
เพราะเขาสามารถโกยเงินจากพ่อค้าแม่ค้าได้เดือนละหลายแสนบาท
กิตติศัพท์ของ
พเยาว์กึกก้องวงการอย่างเต็มที่ก็เมื่อเขาเข้ามาเล่น “ชวนชมดอกซ้อน” ซึ่งกระแสเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเปิดสวนทรัพย์เจริญ ก่อนที่เขาจะเกิดและก้าวขึ้นเป็น“ผู้นำ” ของวงการด้วยชวนชม
อาจเป็นเพราะชวนชมดอกซ้อนเป็นวิวัฒนาการใหม่ของชวนชมไม้สี
แม้จะเปิดตัวในวงการมานานโดยการนำของ “สวนหัสดี” แต่เนื่องจากราคาที่ “เวอร์” เกินจริง จึงไม่มีใครกล้าเล่น
จนเมื่อมีการลดราคาลงจนถึงจุดพอดีการซื้อขายจึงขยับเขยื้อน
แม้จะ “กระชับพื้นที่” อยู่เฉพาะกลุ่มผู้ผลิตก็ตาม
แต่ต้องยอมรับว่าในกลุ่มของชวนชมดอกซ้อนยังไร้ผู้นำที่ผลิตเชิงปริมาณ
เป็นเพียงการซื้อไปรายละสิบต้นยี่สิบต้น ราคา 2-4 หมื่นบาท
เพื่อนำไปหั่นขายเอาทุนคืนและเรียกกำไร
เรียกได้ว่ายังกล้าๆ กลัวๆ
ที่จะทุ่มการผลิตอย่างเต็มสูบ เพราะไม่มั่นใจว่าจะขายได้หรือเปล่า
และเมื่อนำมาเทียบเคียงกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดี แนวโน้มตลาดชวนชมจึงอยู่ในช่วง “ลูกผี ลูกคน”
ภาวะอย่างนี้จึงไร้ผู้นำหรือเจ้าตลาดที่จะผลิตในเชิงปริมาณ
พื้นที่ตรงนี้จึงเปิดกว้างสำหรับผู้ที่ใจกล้าและใจถึง
เพราะต้องยอมรับว่าการจะทำปริมาณได้ต้องลงทุนแม่พันธุ์จำนวนมาก
แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคของสวนทรัพย์เจริญ
เขามี “ภูมิต้านทาน” ทั้งตัวเงินและใจอยู่แล้ว
แต่เหนืออื่นใดเขาวิเคราะห์แล้วว่าชวนชมดอกซ้อนเป็นไม้ที่อนาคตเรียกหา...!!!
เขาเข้าสวนหัสดีซื้อชวนชมไปกว่า 2 แสนบาท
ก่อนจะเข้ามาซื้ออย่างต่อเนื่องเกือบทุกเบอร์ ไม่ว่าจะเป็น อะเมสซิ่งไทยแลนด์, กุหลาบม่วง,ทริปเปิ้ลหัสดี, กุหลาบวาเลนไทน์, ดับเบิ้ลซานตาคลอสและคริสมาสต์ซานตาคลอส เป็นต้น
แค่ 6 เบอร์นี้เขาก็ซื้อไปเป็นเงินเฉียดล้านแล้ว
เพราะการซื้อของเขาไม่ได้ซื้อสิบต้นหรือรายอื่นๆ
เขาซื้ออย่างน้อย 20 ต้น
และบางเบอร์ 40 ต้น โดยไม่เสียดายเงิน
แต่เสียดายหากไม่มีแม่พันธุ์ที่มากพอสำหรับการขยายพันธุ์มากกว่า
การซื้อของเขาสร้างความตะลึงให้แก่ผู้ผลิตรายอื่นๆ
ไม่น้อย เพราะการที่เขาซื้อมากนั่นหมายความว่าเขาน่าจะมีโอกาสทำจำนวนได้มากกว่า
และอาจจะขายได้ถูกกว่า จนสร้างความ “ประหวั่นพรั่นพรึง” ให้แก่วงการไม่น้อย
แต่ภาพความน่าตกใจเด่นชัดที่สุดก็เมื่อเขาซื้อ “ขาวนางฟ้า” 40 ต้น พร้อมๆ กับเหมาแม่พันธุ์ตอใหญ่ไปเกือบเกลี้ยงสวน
เหลือทิ้งไว้ประดับสวนเพียงแค่ต่อเดียวเท่านั้น
“แค่ 40 ต้นไม่พอหรอก
ยอดมันสั่น หั่นได้ไม่เท่าไหร่ เล่นพุ่มใหญ่เลยดีกว่าทีเดียวจบ” เขาให้เหตุผลอย่างนั้น
ก่อนที่ข่าวนี้กระถูกส่งต่อไปอย่างรวดเร็ว
จนเป็นที่สงสัยว่าเขาผู้นี้เป็นใคร ก่อนที่เขาจะกลายเป็นที่รู้จักของคนในวงการ
และถูกมอบชื่อเสียงให้ว่าเป็นผู้ผลิตชวนชมดอกซ้อนรายใหญ่ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง
เพราะเมื่อราวต้นปี 53 เขาเช่าพื้นที่ 55 ไร่ ในการสร้างสวนชวนชมแบบครบวงจรขึ้น
กลายเป็นศูนย์รวมของชวนชมดอกซ้อนและชวนชมไม้สีทุกชนิดด้วยเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
ถือว่าเป็นการลงทุนที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในวงการ
ข่าวของเขาดังดุจ “พลุกัมปนาท” เมื่อเขาแสดงความใจกล้าแบบไม่ต้องกินยา เมื่อเขาซื้อลิขสิทธิ์ชวนชมดอกซ้อนจากสวนหัสดีไม่ต่ำกว่า 6 เบอร์ รวมเป็นเงินมากกว่า 1 ล้านบาท ได้แก่ ชมพูวาเลนไทน์ แดงทรัพย์เจริญ
กุหลาบแดง และแดงดาวดึงก์ เป็นต้น ก่อนจะเปิดจำหน่ายโดยใช้สูตรเดียวกับสวนหัสดี
โดยการขาย 10 ต้น 2 หมื่นบาท ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ แม้เขาจะยอมรับว่าได้เพียงแค่ทุนคืน
พร้อมเดินหน้าผลิตเชิงปริมาณ และนั่นก็คือกำไร
การเข้ามาเอาดีด้านชวนชม
จนวันนี้พูดได้เต็มปากแล้วว่าเขาเขย่งก้าวแล้วก็กระโดดขึ้นมาอยู่แถวหน้าของวงการชวนชมเป็นที่เรียบร้อย
และชัดเจนขึ้นเมื่อเขาพัฒนาจากการเป็นผู้ซื้อสายพันธุ์ดอกซ้อนมาขยายพันธุ์มาเป็นผู้ผลิตชวนชมดอกซ้อนเองด้วย
ซึ่งเริ่มเห็นผลแล้วเมื่อ เดือนเมษายน
พฤษภาคมปี 2552 ลูกไม้ที่เขาพัฒนาดอกซ้อนหลายหมื่นต้นเริ่มโผล่ออกมาอวดโฉม
มีดอกซ้อนจำนวนมากและสามารถคัดได้เด่นๆ หลายต้นทีเดียว
และอนาคตน่าจะเป็นผู้ผลิตที่น่ากลัวที่สวนหัสดีต้องจับตามองทีเดียว
เห็นได้จากลูกไม้ของเขากวาดรางวัลมาแล้วจากหลายเวทีที่ส่งเข้าประกวด
บางเวทีเขากวาดเรียบทุกรางวัล ที่โดดเด่นน่าจะเป็นสีเหลือง ที่เขามีอยู่หลายเบอร์
ซึ่งกำลังคัดสายพันธุ์ และน่าจะกลายเป็น “คลังไม้เหลือง” อย่างแน่นอน ดังตัวอย่างของ เหลือเพิ่มทรัพย์
เหลืองกาญจนา ส้มจี๊ด และเหลืองมะนาว เป็นต้น
คงไม่ใช่เพียงใจกล้า
และมีเงินเพียงอย่างเดียวที่ทำให้สวนทรัพย์เจริญ โตแบบก้าวกระโดด
หากแต่เกิดจากการวางแผน และการวิเคราะห์อย่างดี
เขามองเห็นช่องว่างของวงการที่หลายคนมองไม่เห็น เห็นโอกาสที่หลายคนไม่ได้มอง ก่อนจะช่วงชิงความเป็นต่ออย่างฉับไวและมีความต่อเนื่อง
หากแต่ช่วงต้นปี 2554 ชื่อของ พเยาว์ ขาวเจริญ ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากการสร้างปรากฏการณ์หน้าใหม่ด้วยการกระหน่ำซื้อชวนชมราชินีพันดอกกิ่งตอน
ขนาดใหญ่จำนวน 5 ต้น ในช่วง 2 เดือน มูลค่าแลกด้วยเงินสดๆ หลักล้านบาท
ซึ่งเป็นการซื้อจริงขายจริงไม่ใช่การปั่นมูลค่าเพื่อโก่งค่าตัวแต่อย่างใด
ก่อนที่ข่าวนี้จะถูกขยายเสียงแบบปากต่อปาก
จนเป็นข่าวลือไปทั้งวงการ แต่ก็ช่วยให้ชวนชมพันธุ์นี้กลายเป็นไม้ยอดนิยมขึ้นมา
โดยเฉพาะกระแสความนิยมราชินีกิ่งตอน
“ผมซื้อเพื่อประกวด” พเยาว์บอกจุดประสงค์ที่ต้องแลกด้วยเงินล้าน
ก่อนจะขุดค้นพบความจริงว่า
เมื่อต้องขึ้นบนเวทีประกวดชิงรางวัลยอดเยี่ยม
เมื่อเทียบน้ำหนักกันแบบปอนด์ต่อปอนด์ วัดน้ำหนักกันหมัดต่อหมัด
ชวนชมราชินีพันดอกกิ่งตอนมีภาษีสูงกว่าชวนชมพันธุ์อื่น โดยเฉพาะเมื่อมีดอกเต็มต้น
นี่จึงเป็นแรงผลักดันให้พเยาว์ต้องเสาะหาราชินีพันดอกกิ่งตอนต้นขนาดใหญ่
ระดับประเทศ และลองถ้าเข้าเป็นเล่นแล้วสำหรับ พเยาว์ เท่าไหร่เท่ากัน...!!!
หลังจากนั้นเป็นต้นมาพเยาว์จึงเดินสายประกวดชวนชมทั่วประเทศ
โดยมีราชินีพันดอกกิ่งตอน เป็น อาวุธเด็ด
คว้ารางวัลยอดเยี่ยมมาแล้วหลายต่อหลายเวที ทั้ง “นครบาล” และ “ภูธร” พร้อมๆ
กับการซื้อราชินีกิ่งตอนต้นใหญ่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะต้นมากแชมป์ของเสี่ยปาน
เมืองคน เป็นต้น
พเยาว์พัฒนาตัวเองจากนักขยายพันธุ์ผลิตชวนชมเชิงพาณิชย์ ควบคู่กับเดินสายตรงประกวดคว้ารางวัลยอดเยี่ยมถ้วยพระราชทาน และถ้วยประทาน โดยเฉพาะในเวทีประกวดในกรุงเทพและปริมณฑล จนแทบจะผูกขาด “สัมปทาน”
พเยาว์พัฒนาตัวเองจากนักขยายพันธุ์ผลิตชวนชมเชิงพาณิชย์ ควบคู่กับเดินสายตรงประกวดคว้ารางวัลยอดเยี่ยมถ้วยพระราชทาน และถ้วยประทาน โดยเฉพาะในเวทีประกวดในกรุงเทพและปริมณฑล จนแทบจะผูกขาด “สัมปทาน”
ไม่เพียงเท่านั้นเขายังพิสูจน์ตัวเองด้วยการพัฒนาฝีมือการปลูกเลี้ยงชวนชมชั้นสูง
ไม่ว่าจะเป็นการเข้าลวด และจัดรากตามแบบฉบับของบอนไซ รวมทั้งการทำดอก
ทุกครั้งที่เขายกชวนชมเข้าประกวด ดอกต้องพรึบ และเขาก็ทำมันได้เหมือนเป็นของง่าย
พเยาว์จึงเป็นหนึ่งในนักเล่น
นักเลี้ยง ชวนชมในวงการที่มีชวนชมราชินีพันดอกกิ่งตอนขนาดใหญ่อยู่มากที่สุด
และเป็นนักเล่นที่มีความครบเครื่องมากที่สุดคนหนึ่งของวงการ
ปัจจุบันสวนทรัพย์เจริญให้น้ำหนักกับงานประกวดน้อยลง
ก่อนจะนำเวลาทั้งหมดมาทุ่มให้กับงานพัฒนาสวนชวนชม ซึ่งนาทีนี้กำลังรุ่งโรจน์
โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ ที่ให้ความนิยมชวนชมสูง
และสวนทรัพย์เจริญคือเป้าหมายสำคัญของผู้ซื้อต่างประเทศ เพราะมีทั้งปริมาณและคุณภาพ
และเพื่อเป็นการรองรับการเติบโตของตลาดชวนชมต่างประเทศ เจ้าของสวนทรัพย์เจริญได้เตรียมขยายสวนรองรับไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ปีที่แล้ว (2558) โดยเริ่มต้นจากตระเวนซื้อชวนชมพันธุ์ลูกผสมฮอลแลนด์กับยักษ์ญี่ปุ่น ต้นขนาดใหญ่จำนวนมาก ข่าวแว่วว่ารวมๆ แล้วมูลค่าทะลุล้าน จนเกิดเครื่องหมายคำถามไม่น้อยว่าเขาซื้อไปเพื่ออะไร...???
และเพื่อเป็นการรองรับการเติบโตของตลาดชวนชมต่างประเทศ เจ้าของสวนทรัพย์เจริญได้เตรียมขยายสวนรองรับไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ปีที่แล้ว (2558) โดยเริ่มต้นจากตระเวนซื้อชวนชมพันธุ์ลูกผสมฮอลแลนด์กับยักษ์ญี่ปุ่น ต้นขนาดใหญ่จำนวนมาก ข่าวแว่วว่ารวมๆ แล้วมูลค่าทะลุล้าน จนเกิดเครื่องหมายคำถามไม่น้อยว่าเขาซื้อไปเพื่ออะไร...???
ก่อนที่ทีมงานต้นไม้และสวนออนไลน์จะล้วงลึกจนได้ความจริงว่า
เขาซื้อมาเพื่อผลิตเมล็ดสำหรับเพาะทำตอชวนชมโดยเฉพาะ
“ผมซื้อมาต้นละ 2,000-3,000 แค่ทำฝักปีเดียวผมก็ได้กำไรแล้ว” พเยาว์ บอก ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์ความต้องการเมล็ดและต้นตอผลิตชวนชมไม้สีที่มีความต้องการสูง
อีกทั้งเตรียมผลิตเมล็ดเพื่อป้อนให้กับสวนใหม่สาขา 2 อีก 30 ไร่ ซึ่งกำลังจะเปิดปลายปีนี้ เมื่อถึงตอนนั้นสวนทรัพย์เจริญจะมีพื้นที่รวมกว่า 80 ไร่ เป็นสวนชวนชมใหญ่ที่สุดในไทย และใหญ่ที่สุดในโลก (เพราะไทยคือผู้ผลิตชวนชมรายใหญ่ที่สุด)
สวนทรัพย์เจริญจึงเป็นแหล่งผลิตชวนชมเชิงปริมาณแบบครบวงจรอย่างแท้จริง
มีทั้งเมล็ดที่มีกำลังการผลิตปีละหลายล้านเมล็ด
มีต้นตอชวนชมที่เพาะใช้ในสวนปีละไม่ต่ำกว่า 600,000 ต้น
ที่เหลือขายให้กับสวนชวนชมอื่นๆ ขณะที่สายพันธุ์ชวนชมไม้สี
สวนทรัพย์เจริญมีทุกสายพันธุ์ ทั้งที่เป็นไม้ของสวน และพันธุ์ยอดนิยมในท้องตลาด
จึงสามารถรองรับความต้องการของตลาดต่างประเทศได้ตลอดทั้งปี
Advertising
สวนไพสิฐฟาร์ม |
ลงโฆษณา ติดต่อ โทร/line 08-6335-2703